ผู้รู้ เขารู้
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๕๙
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “ขอหมายเลขบัญชีมูลนิธิครับ”
อยากทราบหมายเลขบัญชีมูลนิธิเพื่อร่วมทำบุญเผยแผ่ธรรมะครับ เพราะผมเองได้รับประโยชน์จากธรรมะที่หลวงพ่อท่านเมตตาช่วยชี้แนวทางปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องให้พ้นจากแนวทางปฏิบัติที่ทำให้หลงทาง จึงอยากเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโอกาสเผยแผ่แนวทางที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ทั้งนี้ควรไม่ควร แล้วแต่ท่านจะเห็นสมควรครับ
ตอบ : เห็นสมควรในหัวใจที่ได้ประโยชน์ไง เห็นไหม เรามีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นที่อาศัย ถ้ามันได้ประโยชน์จากเสียงธรรมจากมูลนิธิ ฉะนั้น อยากจะช่วยเหลือในการใช้จ่าย
ฉะนั้น สิ่งที่อยากช่วยเหลือในการใช้จ่าย อันนี้เป็นน้ำใจ ถ้าน้ำใจแล้ว เราขอบใจ พอเราขอบใจแล้ว เราให้อุบายไง ถ้าเราอยากจะช่วยเหลืออยากจะเจือจาน เราอยากให้ช่วยเหลือเจือจานคนรอบข้าง ช่วยเหลือเจือจานวัดข้างเคียงที่เป็นประโยชน์ ให้ทำที่นั่นน่ะ
เพราะว่าไง เพราะว่ามูลนิธิของเรา เห็นไหม ไม่ใช่ทะนงตนนะ แต่เพราะเราเห็นสังคม สังคมเขาทำกันเหลวแหลก สังคมเขาหน้าไหว้หลังหลอก หาแต่ผลประโยชน์กันไง ฉะนั้น เวลามูลนิธิของเรา หรือวัดสายของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเวลาท่านประพฤติปฏิบัติ ท่านจะเอาความจริงของท่าน
นี่ก็เหมือนกัน เราทำเพื่อประโยชน์ไง ฉะนั้น สิ่งที่เป็นประโยชน์แล้ว สาธุเพราะว่าทำก็เพื่อประโยชน์นี่แหละ ทำเพื่อประโยชน์หัวใจของสัตว์โลก ถ้าโยมได้ประโยชน์จากธรรมะในมูลนิธิ ได้จากเสียงธรรม ให้แนวทางประพฤติปฏิบัติ ถ้ามันเป็นประโยชน์แล้ว เห็นไหม
เราเกิดในประเทศอันสมควรไง เราเกิดในประเทศอันสมควร สิ่งนี้มันเป็นมงคลชีวิตไง ถ้ามงคลชีวิต สิ่งใดที่เราอยากจะตอบแทน ตอบแทนก็ให้ตอบแทนคนรอบข้าง ตอบแทนสิ่งที่ว่าที่ไหนเขาขาดแคลน เอาที่นั่นเลย คือจะบอกว่าทำบุญที่ไหนก็ได้ ทำบุญที่ไหนก็ได้
อย่างมูลนิธินี้ มูลนิธิก็ขวนขวายเอา ปากกัดตีนถีบทำได้ ทำของเราได้เพื่อประโยชน์ เห็นโลกเขาทำกันเหลวแหลกมาเยอะแล้ว โลกเขาทำกันเหลวแหลกมาเยอะ แล้วก็มีบัญชีต่างๆ สมัยเราอยู่กับครูบาอาจารย์ อย่างเช่นหลวงตาตอนท่านยังไม่ออกมาโครงการช่วยชาติฯ มีโยมส่งเงินมาให้ท่านนะ ทีแรกท่านยังไม่ได้สัญญา ท่านก็รับไว้ สุดท้ายแล้วท่านก็ประกาศเลย ใครส่งเงินมา ส่งกลับ ใครตีดราฟต์มา ท่านตีกลับ ไม่รับ ท่านไม่รับนะ สมัยที่ยังไม่ออกมาโครงการช่วยชาติฯส่งเงินมา ส่งกลับ ส่งกลับเลย ใครส่งอะไรมา ส่งกลับหมด ถ้าจะส่งเงินมาต้องบอกว่าส่งมาทำอะไร แล้วได้ตกลงกันแล้วว่าท่านยอมรับให้ทำ ท่านถึงจะรับ แต่ถ้าได้มาแล้วท่านส่งกลับหมด เว้นไว้พอมาโครงการช่วยชาติฯ ท่านบอกเลยคราวนี้เอาหมด ใครๆ ก็เอา เพราะว่ามันเป็นเรื่องของสาธารณะ เรื่องของประโยชน์ไง
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน มูลนิธิเรายังไม่ได้ทำประโยชน์มากมายขนาดนั้น มูลนิธิของเรานะ เราทำประโยชน์กับสังคมของเรา ฉะนั้น ไอ้เรื่องที่ว่าจะขอบัญชี ที่ว่าเห็นสมควรไม่สมควร เราระงับไว้ ระงับไว้ไง เราเก็บตกเอาแต่วัดนี้ ขณะที่วัดนี้เขามาถวายทาน แล้วก็ต้องมาทำบุญด้วยปัจจัย ๔ เราบอกเขาประจำว่า ไม่จำเป็นนะแม้แต่มีน้ำใจแล้วขวนขวายมาถวายทาน อันนี้ก็เป็นภาระหนักพอสมควรแล้วอย่างอื่น เพราะหลวงตาท่านสอนว่า วัดไม่กวนบ้านกวนเมือง ภิกษุเราเป็นผู้เลี้ยงง่าย ไม่กวนบ้านกวนเมืองไง
นี่อารัมภบทมาตั้งเยอะ จะบอกว่าบัญชีไม่มี บัญชีของมูลนิธิมี บัญชีของวัดมีแล้วคนที่พอวงในเขารู้ แล้วที่เขาโอนมา มี ไม่ใช่เราพูดมุสา พูดโกหก บอกว่าไม่มี แล้วไม่มีการโอนเงินกันเลย ไม่มีการทำบัญชีกันเลย ไม่ใช่
มี แต่เขาทำกันเป็นภายใน ไม่ต้องการให้มันออกไปประเจิดประเจ้อ ไม่ออกไปแบบว่าเป็นการกว้าน เป็นการกวนบ้านกวนเมือง เป็นการทำให้ประชาชนเดือดร้อน ไม่ หลวงตาท่านสอนมาอย่างนี้ แล้วสอนมาอย่างนี้ปั๊บ แล้วที่เขาทำกันน่ะใครทำอย่างไรนั่นเป็นเรื่องของเขา เราไม่เกี่ยว
ฉะนั้น พอเห็นเขาทำอย่างนั้นปั๊บ แล้วก็แบบว่า เป็นลูกศิษย์ครูบาอาจารย์เดียวกัน เขาทำได้ พระสงบก็ต้องทำได้ พระสงบทำอย่างนี้ ก่อนหน้านั้น ถ้าพูดอย่างนี้ปั๊บ มันก็เข้าแล้ว เข้าถึงกรณีที่ว่าเขาแถลงการณ์ มีโยมหลายคนนะ ตอนนี้มาหาพระสงบ แล้วพยายามจะดึงพระสงบออกไปจัดการเรื่องที่เกิดขึ้น
เราบอกว่าไม่ใช่ จบแล้ว ตอนหลวงตาอยู่ เราออกไปพูด ออกไปป้องกันเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะกระทบกระเทือนกัน เราไปพูดไว้เยอะ สมัยที่หลวงตายังมีชีวิตอยู่ ทุกคนก็เพ่งเล็ง ทุกคนก็เพ่งโทษว่าเราถ่อย เป็นคนที่ไม่รู้กาลเทศะ เป็นคนที่ทิ่มแทงคนอื่น เราก็พูดของเรามาตลอด พอหลวงตาท่านล่วงไปแล้ว เราภูมิใจมากว่า หลวงตาท่านล่วงไปแล้ว ท่านไปโดยการพลัดพราก ต้องมีความเสียใจเป็นธรรมดา แต่ถ้าท่านเสียชีวิตไปแล้ว มันจะไม่มีใครไปเกาะท่านได้ ท่านไม่มีตัวตนให้ใครทำร้ายอีกแล้วแหละ เราก็สบายใจ ตั้งแต่นั้นมา เงียบ ไม่ยุ่งกับใคร
นี่มา มาขอร้อง เราบอกเลย เวลากูพูด มึงก็ด่ากู เวลากูไม่พูด มึงก็จะดึงกูไปพูด ไม่ไป เห็นไหม พอเวลาเรื่องความคิดของเขา เวลาว่าคนอื่นทำได้ พระสงบก็ต้องทำได้ เขามีบัญชีกัน มีการเรี่ยไรกัน ถ้าพูดอย่างนี้ก็เท่ากับว่าหยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ ก็ว่าพวกเดียวกันไง
ไม่ มันเรื่องของเขา แต่เรื่องของเรานะ ถ้าเขาได้ประโยชน์นี่เราโอเค เราเห็นด้วย แต่ถ้าอยากจะช่วยเหลือเจือจานก็ช่วยเหลือเจือจานตนก่อน แล้วช่วยเหลือเจือจานคนรอบข้าง ช่วยเหลือเจือจาน สิ่งนี้ทำบุญ วัดข้างบ้าน ทำตรงนั้น ทำตรงนั้นไปเลย แล้วเวลาจะเข้ามาในเว็บไซต์ เข้ามาต่างๆ มาเอาประโยชน์ มาเอาประโยชน์ มาเอาแนวทาง แล้วได้ประโยชน์นั้นแค่นั้น ทำเพราะหัวใจสัตว์โลกเท่านั้น จบ
ถาม : เรื่อง “ทำอย่างไรให้พ้นทุกข์หนักที่ต้องเจอกับการพลัดพราก”
กราบนมัสการหลวงพ่อค่ะ ลูกมีคำถามอยากจะกราบเรียนถามหลวงพ่อสั้นๆเพียง ๑ คำถามค่ะ คำถามคือ ถ้าหากต้องพลัดพรากจากสิ่งที่อันเป็นที่รักที่พอใจเราจะวางใจอย่างไรไม่ให้ทุกข์หนักคะ รบกวนหลวงพ่อช่วยแนะอุบายวิธีการให้ลูกด้วยค่ะ
ตอบ : นี่เวลาเขาพูดว่า สัจธรรมเป็นอย่างนั้นไง ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราเน้นย้ำอย่างนี้ประจำ เพราะว่าเราเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องความจริงไง ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ถ้าชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด เราจะมีบุญกุศล เราจะมีบุญกุศลสิ่งต่างๆ เป็นเครื่องดำรงชีวิตไปอย่างไร แล้วถ้าเวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินะ เห็นชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด กลัวมาก กลัวว่าเราจะต้องพลัดพรากไป
เวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติ ไปที่หนองผือ เวลาท่านเป็นโรคเสียดอกท่านรู้เลยว่า เพราะท่านรู้ตัวท่านเอง ผู้ที่ปฏิบัติโดยที่ไม่หลงผิดนะ ท่านจะรู้ว่าตัวเองจะได้อยู่ในภูมิใดภพใด ท่านได้โสดาบันมา ท่านได้สกิทาคามีมา สกิทาคามีมาแล้วท่านติดอยู่ ๕ ปี จนคิดว่ามันเป็นนิพพาน จนหลวงปู่มั่นท่านชักออกมาท่านดึงออกมา แล้วให้แนวทางต่อ ท่านก็ประพฤติปฏิบัติขึ้นไปจนได้เป็นพระอนาคามี แล้วท่านเป็นโรคเสียดอก
ท่านบอกเลยนะ ถ้ามันพ้นแล้วนะ ตายก็ไม่ว่า แต่นี้มันรู้ๆ อยู่น่ะ ถ้าตายไปแล้วต้องไปเกิดบนพรหม ไม่อยากตายๆ พอไม่อยากตาย มันก็วิตกกังวลกับเรื่องความตายๆ ทีนี้ธรรมก็มาเตือน เตือนว่า ท่านเคยเป็นอย่างนี้มาไม่ใช่หรือ ท่านก็เคยเจ็บไข้ได้ป่วยมาตลอด ท่านก็พิจารณามาแล้วตั้งหลายเรื่อง นึกได้ พอนึกได้ก็พิจารณาเป็นธรรมโอสถ พอพิจารณาเข้าไป โรคเสียดอกนี่หายหมดเลย พอหายหมดแล้วท่านก็มาภาวนาของท่านต่ออีก ๘ เดือนท่านถึงจะบรรลุธรรม
คือท่านก็ไม่อยากตาย ไม่อยากตายเพราะอะไร ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แต่ขอให้พ้นกิเลสก่อน ขอให้ประพฤติปฏิบัติสิ้นสุดแห่งทุกข์ แล้วถ้ามันจะตายไม่ว่า เพราะมันเป็นความจริง ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แต่ก่อนที่มันจะพลัดพราก ขอให้มันพ้นจากกิเลสไปก่อน ขอให้กิเลสมันตามตัวเราไม่ทัน ขอให้มันเป็นความจริงไง นี่ถ้าทำได้อย่างนี้จริง เป็นพระอรหันต์แล้วมันกลัวอะไร มันไม่กลัวอะไรเลย
ฉะนั้น เขาบอกว่า ถ้าคำถาม “หากเราต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจแล้วเราจะวางใจไว้ไม่ให้ทุกข์อย่างไร”
ทุกข์มันเป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง เราก็จับตัวทุกข์นั่นน่ะ จับตัวทุกข์เลยเวลาทุกข์หนักๆ ถ้าชีวิตนี้มันต้องพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วมันพลัดพรากอย่างไรถ้ามันพลัดพราก พลัดพรากไปโดยที่เรายังมีกิเลสอยู่ เราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดมันก็จะกลับมาทุกข์มายากอยู่อย่างนี้อีก แล้วถ้ามันจะพ้นจากทุกข์ มันจะพ้นจากทุกข์ เราก็ต้องศึกษาธรรมะ เราต้องประพฤติปฏิบัติของเรา ประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าจิตมันสงบมันก็วางได้ พอจิตสงบมันก็วางได้ อ๋อ! สัจธรรมเป็นแบบนี้ เรามีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน เราทำได้มากขนาดไหน ไอ้ความทุกข์ความยากมันก็เบาลงๆ ไง
ความทุกข์ความยาก ที่คำว่า “ทุกข์หนัก” อุบายวิธีการ เราก็ศึกษาของเรามันเป็นความสามารถของเราไง ไม่ใช่ว่าเราศึกษาแล้วเราจะรู้เท่าทันหมด เราจะศึกษาแล้วเราจะพ้นจากทุกข์ไปเลย เราศึกษาแล้วเราก็ต้องประพฤติปฏิบัติ
มันเป็นคนที่มีโอกาส ในเมื่อสัจธรรม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้ ธรรมะเป็นธรรมชาติ ธรรมะเป็นธรรมชาติ สัจธรรมมันเป็นอย่างนี้ สัจธรรมมันเป็นอย่างนี้ แต่มันยังไม่ใช่เป็นของเรา เป็นของธรรมชาติ
แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ธรรมะเป็นเรา เราเป็นธรรมเสียเอง “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” ธรรมทั้งแท่ง เอโก ธมฺโม ธรรมแท่งหนึ่งในหัวใจนั้นน่ะ หัวใจนั้นเป็นธรรมทั้งแท่ง มันเป็นธรรมเสียเอง อยู่ในธรรม “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด” แล้วธรรมมันสถิตอยู่ในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ธรรมมันสถิตในใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ มันมีธรรมทั้งแท่งแล้ว มันจะมีความทุกข์มาจากไหน มันเป็นธรรมทั้งแท่ง
แต่ตอนนี้ที่มันเป็นทุกข์อยู่เพราะมันเป็นกิเลส มันถึงได้ทุกข์ไง ถ้ามันเป็นกิเลส มันทุกข์ เราศึกษาอย่างนี้ คิดอย่างนี้ไง ถ้าศึกษาอย่างนี้ คิดอย่างนี้ นี่เพียงแต่ว่าพอไปศึกษาแล้วว่าชีวิตนี้ต้องมีการพลัดพรากเป็นที่สุด มันก็เลยเป็นความทุกข์หนัก ความทุกข์หนัก
ก็เหมือนกับเราไปศึกษาทางการแพทย์ แล้วเราก็กลัวจะเป็นโรคเป็นภัยๆ นี่เราเป็นหมอไง แต่เราก็ยังกลัวเจ็บไข้ได้ป่วยตลอด เพราะอะไร เพราะการศึกษานั้นมันไปศึกษามาเป็นวิชาชีพ แต่เวลาคนเรามันก็ต้องตาย ต้องตายเหมือนกันหมอก็ต้องเจ็บต้องป่วยเหมือนกันไง
แต่ถ้าเราจะมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาตามความเป็นจริง นี่ความเป็นจริงเพราะมันหนีจากความเจ็บไข้ได้ป่วยนั้นหมดเลย เพราะจิตมันพ้นไปแล้ว จิตมันพ้นไปแล้ว จิตมันพ้นจากกาย จิตมันพ้นจากจิต จิตมันพ้นจากจิต จิตมันพ้นจากอารมณ์ความรู้สึกไง
จิตมันพ้นจากกาย กายก็ธาตุ ๔ พ้นจากจิต พ้นจากจิตก็รูป เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ เกิดจากจิต เกิดจากจิตโดยธรรมชาติของจิต เห็นไหม ถ้าเรามาพิจารณาของเราตามความเป็นจริง เวลามันทิ้ง เห็นไหม ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ มันทิ้งไปเป็นโสดาบัน ถ้ามันทิ้งความอุปาทานการยึดมั่นในขันธ์ ๕ นั้น มันก็เป็นพระสกิทาคามี ถ้ามันไปทิ้งปฏิฆะกามราคะ ปฏิฆะกามราคะ ปฏิฆะคือข้อมูล ขันธ์อันละเอียดไง ขันธ์อย่างละเอียด
เขาบอกว่า “เป็นพระโสดาบัน ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ พอทิ้งแล้วจะไม่มีขันธ์ ๕”
มันมีตลอด มีตลอด จนเป็นพระอรหันต์ยังมีเลย พอเป็นพระอรหันต์ ทิ้งหมดแล้ว แม้แต่ทิ้งตัวจิตด้วย แต่สอุปาทิเสสนิพพาน ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์เป็นภาระ เป็นภาระเพราะเราจะใช้จะสอยมันไง เป็นภาระเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเทศนาว่าการไง จะเทศนาว่าการมันก็ใช้ขันธ์นี่แหละ แต่ขันธ์นี้ขันธ์ที่มันไม่มีมารไง ไม่มีมาร ไม่ใช่ขันธมาร มันเป็นภาระ มันเป็นสิ่งที่เหลืออยู่ เป็นเศษส่วนที่มีอยู่ เห็นไหม ถ้ามันทิ้งขึ้นมา
นี่ก็เหมือนกัน พอมันทิ้งขึ้นไป ทิ้งทั้งกายและใจ โอ๋ย! หัวใจก็ต้องทิ้ง ทิ้งหมดเลย เวลาทิ้งขึ้นมา ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ พอขันธ์ ๕ มันทิ้งไปแล้ว ถ้าทิ้งไปแล้ว นี่ธรรมทั้งแท่งอันนั้น อันนี้มันหนีทัน เห็นไหม พอมันทิ้งหมดเลย มันสละทิ้งหมดเลยมันเป็นอิสระในธรรมทั้งแท่ง “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด”
ทีนี้เขาบอกว่า “จะทำอย่างไร เพราะมันทุกข์ใจมาก”
มันทุกข์ใจจนคิดว่า “อู้ฮู! งานมันใหญ่มากนะ” ถ้าเราประพฤติปฏิบัติใหม่“โอ้โฮ! คนอย่างเรานี่หรือจะสิ้นกิเลส” มันไม่กล้าขยับนะ “คนอย่างเราจะเป็นพระอรหันต์”
เออ! คนอย่างเรานี่แหละ คนทุกข์ๆ ยากๆ นี่แหละ เพราะอะไร เพราะสิ่งที่มันเป็น มันไม่ใช่เป็นที่คน มันเป็นที่หัวใจดวงนั้น หัวใจดวงนั้น ดูสิ เกิดมาเป็นทุคตะเข็ญใจเป็นพระอรหันต์ได้ เกิดมาเป็นเศรษฐีกุฎุมพีต่างๆ เวลาเขาบวชปฏิบัติแล้วเขาเป็นพระอรหันต์ได้ เกิดเป็นกษัตริย์ เขามาบวชแล้วเขาเป็นพระอรหันต์ได้
ไอ้คนทุกข์ๆ ยากๆ นี่แหละ แต่ถ้ามันมีสติ มีศรัทธามีความเชื่อของมัน มีการกระทำของมันนะ มันเกิดมรรคเกิดผล เกิดสัจจะความจริง มันเป็นตรงนั้น มันเป็นตรงที่มรรคมันเกิด ตรงที่ศีล สมาธิ ปัญญามันเกิด มันไม่ใช่เป็นคนคนใดทั้งสิ้น
ถ้าคนไม่ทำอะไรเลยมันก็เป็นคนอยู่นั่นแหละ แต่ถ้าเป็นคนที่ทำ คนก็คือคนแต่มรรคมันเกิด มรรคก็คือมรรค มรรคคือศีล สมาธิ ปัญญาที่เกิดในใจไง ที่เกิดขึ้นมาจากการกระทำอันนั้นน่ะ อันนั้นน่ะที่มันเป็นขึ้นมา เป็นตรงนั้น ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผลไง ถ้าศาสนาไหนมันมีมรรค
นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราทุกข์มาก จะบอกว่า ทุกข์เพราะไปรู้ไง ทุกข์เพราะศึกษาธรรมะไง ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด สิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจต้องพลัดพรากหมด ก็เลยทุกข์ใหญ่เลย
เขาศึกษามาให้เป็นแนวทาง ศึกษามาให้เรารู้เท่า แล้วเราประพฤติปฏิบัติแต่พอศึกษามาแล้วมันยิ่งกลัว ศึกษามาแล้วมันยิ่งน่ากลัว ศึกษามาแล้วมันยิ่งทำให้บีบคั้นเราอีก โอ้โฮ! เรามารู้หมดเลยว่าเราเป็นอะไรๆ ยิ่งกลัวมากใหญ่เลย
แต่ถ้าเราศึกษามา ใช่ มันเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัว มันน่ากลัวในความคิดของเราเองนี่แหละ แต่ถ้ามันน่ากลัวแล้วเราก็ต้องพิจารณาเปลี่ยนแปลงให้มันเป็นสิ่งที่น่ารัก ถ้าเกิดเป็นศีล สมาธิ ปัญญา เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา เป็นสิ่งที่น่ารัก เป็นสิ่งที่น่ารักเพราะอะไร เพราะว่าถ้ามันทำขึ้นมาได้จริง พอมันสิ่งที่ทำขึ้นมาได้จริงในใจของเรา โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์น่ะ โอ้โฮ! มนุษย์คนหนึ่งทำได้ขนาดนี้เชียวหรือ มนุษย์คนหนึ่ง เห็นไหม
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธัมมจักฯ เทวดา อินทร์ พรหมส่งข่าวเป็นชั้นๆๆ ขึ้นไปเลยนะ โอ้โฮ! ภูมิอกภูมิใจ มรรคมันเกิดแล้ว มันมีสัจจะแล้วมันเหมือนคนป่วยมาแต่ไหนแต่ไร ไม่มียาเลย คราวนี้มีอริยสัจเกิดแล้ว ยาเกิดแล้ว ธรรมะเกิดแล้ว โอ๋ย! ภูมิใจกันมหาศาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ เทวดาสำเร็จเป็นพระอรหันต์เป็นแสนเป็นล้าน นี่เขาภูมิใจๆ แต่เราไม่เห็นน่ะ เราเป็นชาวพุทธ วัดเต็มทั่วประเทศไทยเลย เดินไม่พ้นวัดเลย แต่ไม่รู้ว่าวัดเขาทำอะไรกัน นี่กบเฝ้ากอบัวไง
ถ้าเราศึกษาแล้วเราเอาสิ่งนี้มาเป็นคติธรรมของเรา มาประพฤติปฏิบัติของเรา มาเป็นความจริงของเรา
เขาว่า จะวางใจอย่างใดไม่ให้มันทุกข์ไง
ไม่ให้มันทุกข์ ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ทุกข์ควรกำหนด เพราะมันเป็นความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ ความทุกข์เพราะอะไร เพราะความทุกข์มันทนไว้ไม่ได้ สิ่งที่เราทนไม่ได้ สิ่งที่ทุกข์คือสิ่งที่เราทนไม่ไหว มันเป็นความทุกข์ แล้วมันมีอะไรที่เราจะทนได้ล่ะ นั่งอยู่อย่างเดียวก็ไม่ได้ นอนอยู่อย่างเดียวก็ไม่ได้ ยืนอย่างเดียวก็ไม่ได้เดินอย่างเดียวก็ไม่ได้ เราต้องเปลี่ยนอิริยาบถตลอด ความคิด เดี๋ยวก็คิดสุขคิดทุกข์ เดี๋ยวก็คิดกันมาเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา นี่ไง ทุกข์มันคือสิ่งที่ทนไม่ได้แล้วมันมีอะไรทนได้ในชีวิตนี้ มันมีอะไรทนได้ ที่มันทนอยู่ได้เพราะมันมีกิริยาไงมันเคลื่อนไหวตลอดไง เปลี่ยนแปลงตลอด ทนไว้ไม่ได้ มันก็แก้ไขในตัวมันเองโดยธรรมชาติ แต่เราไม่รู้
ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ เพราะควรละความพอใจไม่พอใจนี่ แล้วมันเกิดนิโรธ เกิดนิโรธคือการดับทุกข์ทั้งหมด ดับทุกข์เพราะอะไร ดับทุกข์เพราะมรรค ถ้ามีมรรคจริง มันก็ดับได้จริง ดับได้จริง มันก็ดับโดยอกุปปธรรม คือมันคงที่ตายตัว ไม่กลับมายอกย้อน แต่ถ้ามันยังไม่ถึงที่สุดนะ มันยังไม่เป็นอกุปปธรรม มันก็เปลี่ยนแปลง
การเปลี่ยนแปลง สรรพสิ่งในโลกเป็นอนิจจัง สิ่งใดเป็นอนิจจัง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจังทั้งหมด ไม่มีอะไรคงที่เลย มันเคลื่อนไหวมันถึงเป็นอนิจจัง เพราะเป็นอนิจจังมันถึงเป็นทุกข์แล้วเป็นทุกข์มันถึงเป็นอนัตตา แล้วเราจะไปทำให้มันเคลื่อนไหวทำไม ก็มันทุกข์อยู่นี่ เราถึงต้องนั่งสมาธิ เราถึงต้องมาเดินจงกรมไง
ของที่เคลื่อนไหวอยู่มันไม่เห็นใช่ไหม ต้องให้มันนิ่ง ถ้าจิตมันนิ่ง ที่มันเคลื่อนไหวอยู่นี่เคลื่อนไหวโดยสามัญสำนึก เคลื่อนไหวโดยความเป็นมนุษย์เคลื่อนไหวโดยธรรมชาติของมัน แต่ถ้าเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทางสองส่วนไม่ควรเสพ อัตตกิลมถานุโยคคือความทุกข์เปล่าๆ อยู่นี่ ทุกข์ที่ไม่ประพฤติปฏิบัติ ทุกข์อยู่โดยธรรมชาติของมัน แล้วเกิดกามสุขัลลิกานุโยค ความหลงผิด หลงผิดว่าชีวิตนี้มีความสุข ชีวิตนี้มีแต่ความรื่นเริง มันเป็นทางสองส่วนที่ไม่ควรเสพ
ไม่ควรเสพ เสพอย่างไร เสพก็ทำความสงบของใจไง เสพว่าเราไม่เสพทางสองส่วนนั้น เราจะไปเสพทางสายกลาง ทางที่เป็นความเป็นธรรม ทางที่เป็นความพอดี เราออกจากโลกไง โลกเขาติดกันทางสองส่วนนี้ เราจะออกสู่ธรรมอยู่ตรงกลาง ตรงความพอดี ความสมดุล ถ้าสมดุล มันประพฤติปฏิบัติขึ้นไปมันก็รู้ก็เห็นถ้ารู้เห็น นี่ไง
“จะวางใจอย่างไรถ้ามันทุกข์มาก ทุกข์มาก”
ศึกษามาเพื่อปฏิบัติ ถ้าเราศึกษาแล้วเรารู้เท่าทันมัน แล้วจะปฏิบัติอย่างที่พูดนี่ หัดปฏิบัติ งานทางโลกเราก็ขวนขวายทำหน้าที่การงานของเรา มีเวลาว่าง คนเรามีเวลาว่าง เวลากินเวลานอนยังมีเวลา ถ้ามีเวลาว่างนะ หายใจเข้านึกพุทหายใจออกนึกโธ มารู้เท่าทันตนเอง ถ้ารู้เท่าทันตนเอง จิตมันสงบแล้ว เดี๋ยวจิตนี้มันยกขึ้นสู่วิปัสสนา
สิ่งที่เรารู้ว่ามันทุกข์มันยาก ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ด้วยนิโรธคือการดับทุกข์ ด้วยมรรคด้วยผลน่ะ มรรคผลเริ่มต้นทำขึ้นมาก็ถูกๆ ผิดๆ ความถูกๆผิดๆ การฝึกหัดมันก็เรื่องธรรมดา ปุถุชน กัลยาณปุถุชน แล้วก็โสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล บุคคล ๔ คู่ มันจะพัฒนาการของมันขึ้นไป จิตมันจะพัฒนาการได้ถ้าเราฝึกหัดกระทำของเรา ถ้าฝึกหัดทำ เห็นไหม
ที่มันทุกข์หนักๆ ทุกข์หนักโดยที่เขาปิดหูปิดตา คนทั้งโลกเหมือนเราหมดเลย เหมือนผู้ถาม ทุกข์เหมือนกันทั้งนั้นน่ะ แต่เขาปิดหูปิดตา เขาไม่คิดถึงมันไงเขาคิดถึงแต่ความสุขของเขา เขาคิดแต่ทางโลกของเขา แต่มันก็ทุกข์อย่างนี้ความจริงมันก็เป็นอย่างนี้ แต่เขาไม่คิดถึงความจริง เขาคิดแต่อารมณ์ของเขาเขาก็เลยมีความสุข
ไอ้เราก็มอง “เออ! โลกนี้ใครๆ ก็มีความสุข มันจะมีความทุกข์อยู่ที่เราคนเดียว” เวลามันน้อยใจนะ “โลกนี้เขามีความสุขหมดเลย เราคนเดียวนี่แหละที่ทุกข์อยู่คนเดียว”
ไอ้คนที่พูดอย่างนี้เพราะมันมีสติปัญญา มันคิดได้ ไอ้คนคิดไม่ได้มันยังทุกข์อยู่นั่นน่ะ ทั้งๆ ที่มันก็ทุกข์เหมือนเรานี่แหละ แต่เขาคิดไม่ได้ เขาคิดไม่ได้ เขาคิดไม่เป็น เขาก็เลยทุกข์อยู่นั่น เขาก็เลยหลงผิดอยู่นั่น แต่ของเรา เราคิดได้ เราถึงมีความทุกข์ๆ ไง ถ้าเรามีความทุกข์ เราคิดได้แล้วเราก็ฝึกหัดของเรา เราปฏิบัติของเรา
ทางสายกลางๆ ความสมดุลที่เราจะออกจากทุกข์นี่ไง ถ้าออกจากทุกข์ได้ ทีนี้การออกจากทุกข์ ความเวียนว่ายตายเกิดเป็นผลของวัฏฏะ มันยังให้ผลกับชีวิตขนาดนั้น แล้วเวลาเราประพฤติปฏิบัติ เราจะพ้นจากวัฏฏะ คือเราจะไม่เกิดไม่ตายอีก
คนที่เวียนว่ายตายเกิดเขาทำความดีความชั่วมามันถึงมาเกิดอย่างนั้น แล้วเราจะสร้างคุณงามความดีที่พ้นจากการไม่เกิด มันจะต้องขวนขวาย ต้องมีการกระทำมากกว่านั้น ต้องเข้มแข็งกว่านั้น ต้องเข้มข้น ต้องมีสติปัญญา มันถึงจะพ้นจากทุกข์อย่างนั้นได้ ฉะนั้น ถ้าเราทำจริงๆ แล้ว เราจะต้องมีสัตย์ มีสัจจะ แล้วเราพยายามทำของเรา
แล้วที่ว่า จะวางใจอย่างไรให้พ้นจากทุกข์ไง
ถ้าวางใจให้พ้นจากทุกข์ มันต้องประพฤติปฏิบัติ มันต้องหาทางออก ถ้าไม่อย่างนั้นเวลาเรารู้เท่าแล้วเราเปิดหูเปิดตา แล้วถ้าเราไม่เท่าทันกิเลสนะ เดี๋ยวกิเลสมาทิ่มมาตำนะ ยิ่งกว่านี้อีก
ยิ่งกว่านี้ หมายความว่า บางคนไม่มีทางออก เขาฆ่าตัวตาย ว่าอย่างนั้นน่ะเวลาไม่มีทางไป มันฆ่าตัวตาย มันทำร้ายตัวเองเลย นี่มันจะร้ายกว่านั้นอีก แต่นี่มันทุกข์ แต่ไม่ทำร้าย เราจะแก้ไข เราไม่ใช่ทำร้ายตัวเอง เราจะแก้ไข แก้ไขอย่างนี้ อย่าให้กิเลสมันเสี้ยม อย่าให้กิเลสมันสวมรอย คิดอะไรได้แล้วกิเลสมันจะเสี้ยมมันจะสวมรอย แล้วมันจะทุกข์มาก ฉะนั้น เราเอาทุกข์แค่นี้ ทุกข์พอที่ความพอใจของเรา จบ
ถาม : เรื่อง “ดับแล้วเหลืออะไร”
เคยฟังธรรมะของหลวงพ่อ ถามว่าดับแล้วเหลืออะไร แต่ไม่รู้ว่าฟังจากตรงไหน ตอบว่าดับไม่เหลือ ถูกไหมคะ ตอนนี้ก็ฟังธรรมของหลวงพ่อตลอด ความสงสัยเริ่มน้อยลง เว็บไซต์ของหลวงพ่อมีประโยชน์จริงๆ
ตอบ : อันนั้นน่ะ ถ้ามีประโยชน์จริงๆ มันก็มีประโยชน์เพื่อให้คนมีสติมีปัญญาไง มีประโยชน์จริงๆ เห็นไหม ยังถามมาว่า “ตอบว่าดับแล้วไม่เหลือ”
ตอบอะไร ไอ้คำถามแบบนี้มันเป็นผู้รู้ เวลาวงกรรมฐาน ครูบาอาจารย์ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาครูบาอาจารย์เราท่านสนทนาธรรมกัน ท่านให้ตอบคำเดียวไม่ต้องตอบเยิ่นเย้อ ตอบไปไหนมา สามวาสองศอก แหม! ปัญญาเยอะ ฟุ้งเฟ้อตอบทีหนึ่ง ๕ ชั่วโมง ท่านถามคำเดียว ตอบคำเดียวเท่านั้นน่ะ
ฉะนั้น สิ่งที่ว่า ดับแล้วเหลืออะไร
เวลาครูบาอาจารย์ท่านถาม นี่เราโดนถามเอง เราโดนถามจากหลวงปู่เจี๊ยะหลวงปู่เจี๊ยะเป็นคนถามเราเอง เวลาพิจารณาไปแล้ว ขันธ์ ๕ ก็ดับ นู่นดับ ท่านถามว่าเหลืออะไร ดับแล้วมีอะไรเหลือ
ไปไม่เป็นหรอก ดับแล้วมีอะไรเหลือ เหลืออากาศไง เหลือไม่รู้ไง
แต่ถ้าความจริง ดับแล้วเหลืออะไร ดับแล้ว เวลาพิจารณาไปแล้ว มันมีอะไรมันเหลืออะไร ผลตอบรับมันเป็นอย่างไร
ไอ้นี่จะบอกว่า ผู้รู้ เขารู้ แต่ไอ้นี่เวลาพูด ผู้ที่เป็นนักปราชญ์ ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นความจริง เวลาท่านสนทนาธรรมกัน มันสนทนาธรรมเพื่อประโยชน์ แล้วเพื่อประโยชน์ คนรู้ไง ที่เวลาหลวงตาขึ้นไปหาหลวงปู่แหวน ท่านก็เห็นว่าหลวงปู่แหวนเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น แล้วทำไม “เราสู้ เราสู้” ก็สงสัย ก็ขึ้นไปดูไง ขึ้นไปดูก็ขึ้นไปถาม
เวลาท่านตอบมา “มหา มีอะไรคัดค้านว่ามาเลย มีอะไรคัดค้านมา”
“กระผมไม่คัดค้านแล้ว กระผมหาฟังธรรมะแบบนี้ กระผมจะหาสัจธรรมอย่างนี้” เข้ามาแสวงหาธรรมกับหลวงปู่แหวน นี่ไง คนจริงกับคนจริง แล้วหลวงตาท่านยังมาพูดทีหลังบอกว่า ถ้าไม่รู้ก็ถามไม่ได้ เราจะถามปัญหาอะไรให้ท่านตอบ
ดูสิ คนไปหาหลวงปู่แหวน โอ้โฮ! มืดฟ้ามัวดินเลย ไม่ต้องถามอะไรเลย รับแจกเหรียญ เหรียญคนละเหรียญ โอ้โฮ! ปลื้มใจ กราบแล้วกราบอีก เขาไม่รู้เรื่องอะไรเลย เขาไปเอาเหรียญกันน่ะ
ไม่รู้ถามไม่ได้ ไม่รู้ไง ไม่รู้ถึงธรรมะ รู้แต่เหรียญ รู้แต่เครื่องมงคล ของมงคลแต่ไม่รู้ว่าธรรมะคืออะไร ไม่รู้ถามไม่ได้ แล้วคนถามถ้าถามจริง ถ้าไม่เป็นก็ตอบไม่ได้อีกเหมือนกัน
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาหลวงปู่เจี๊ยะท่านถามเรา เวลาพิจารณาขันธ์ พิจารณาต่างๆ แล้วมันเหลืออะไรล่ะ
จริงๆ แล้วใครเป็นคนทำงานล่ะ จิตเป็นคนทำงาน จิตเป็นคนทำงาน จิตทำงานเรื่องอะไรล่ะ แล้วทำงานเสร็จแล้ว งานมันเสร็จไหม เสร็จแล้วมันเหลืออะไรล่ะ มันเหลืออะไร มันเป็นอะไรมันถึงเหลือ มันเป็นอะไรมันถึงไม่เหลือ มันเป็นอะไรมันถึงถลำทะลุทะลวงไป
นี่ไง ที่พูดนี่ เวลาเราพูดว่าดับแล้วเหลืออะไร เพราะนี่มันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นเรื่องอริยสัจ ทางโลกเดี๋ยวนี้มันแบบว่าสำมะเลเทเมา คำพูดพูดไป เวลาเขาพูดถึงธรรมะกันนะ เวลาถามธรรมะกัน เวลาบอก “ดับแล้วเหลืออะไร”
“ยังมีดับอีกหรือ ท่านยังติดอยู่อย่างนี้อีกหรือ มันยังมีเหลืออีกหรือ อู๋ย! มันไม่มีอะไรเลย มันดับหมดเลย มันว่างหมดเลย ท่านยังติดอยู่นี่ อู๋ย! พวกนี้ภาวนาไม่เก่ง เป็นวงการภาวนาที่หลอกลวง เขาไม่มีอะไรเลย เขาดับหมดเลย”
ไปเจอคารมอย่างนั้นก็ติดอีก คือเขามันขี้ลอยน้ำ เขาไม่มีสัจจะอะไรเลย แต่เขาใช้โวหารนะ เวลาเขาพูดธรรมะกัน เขาแสวงหาธรรมกันนะ “อู๋ย! พวกท่านยังติดกันอยู่อีกหรือ เขาไม่มีอะไรเลย ว่างหมด โลกนี้เป็นความว่าง มันไม่มีอะไรเลย”
โอ๋ย! พวกเราก็งงนะ “โอ้โฮ! พวกเรายังปฏิบัติเด็กๆ เนาะ เขาปฏิบัติกันสุดยอดเลย เขาไม่มีอะไรเลย เขาไม่ติดไม่ข้องอะไรเลย โอ้โฮ! เขาตัวเขียวๆ ลอยมาเทวดาเลย” นี่มันไม่มีเหตุมีผล โลกมันเป็นกันแบบนี้
ฉะนั้น ที่ว่าครูบาอาจารย์เรา ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรม ผู้รู้ท่านมี ถ้าผู้รู้ท่านรู้จริงอยู่แล้ว คำว่า “รู้จริงอยู่แล้ว” มันก็รู้อยู่ในหัวใจเต็มหัวใจ ถ้ารู้เต็มหัวใจแล้ว เวลาจากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ครูบาอาจารย์เวลาท่านคุยธรรมะ ท่านสนทนาธรรมกับลูกศิษย์ แล้วลูกศิษย์มีคุณธรรมแค่ไหน ลูกศิษย์มันมีจริงแค่ไหน
ดูสิ เวลาหลวงตากับหลวงปู่มั่นท่านพูดประจำ “สั่งสอนมาตลอดนะ สั่งสอนลูกศิษย์ลูกหามาตลอดเลย มันไม่มีใครเอาธรรมะมาคุยให้ฟังบ้างเลย ที่สั่งสอนมานี่มันเป็นประโยชน์บ้างหรือไม่ ถ้ามันเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ใครที่มันใช้ประโยชน์ มันเก็บประโยชน์นะ มันภาวนา มันได้สมาธิ มันได้ปัญญา มันไม่มาคุยให้เราฟังเลยบ้างวะ มันไม่เคยถามปัญหาเราเลย”
ครูบาอาจารย์ โอ้โฮ! ท่านรอนะ รอให้พวกเราไปฝึกหัดงาน พอฝึกหัดแล้วงานมันติด พองานมันติดก็จะมาถามท่านว่า งานนี้ทำอย่างไร แก้ไขอย่างไร
แล้วท่านก็รออยู่ แสดงว่าไอ้พวกนี้มันไม่ทำงาน มันไม่มีงานทำ มันทำงานไม่เป็น มันไม่เคยทำอะไรเป็นอุปสรรคเลยหรือ ถ้าเป็นอุปสรรค ครูบาอาจารย์ท่านจะรออย่างนี้ “เวลาสั่งเวลาสอนไป เราก็สั่งสอนมาตั้งมากมาย เรารออยู่นี่ ใครปฏิบัติแล้วมันเหตุ มีการติดขัดอย่างไรก็มาหา จะได้ช่วยกันแก้ไข” นี่ครูบาอาจารย์เป็นจริง มันต้องมีสิ ไม่มี มันจะพัฒนาขึ้นมาได้อย่างไร ปุถุชน กัลยาณปุถุชน เป็นขั้นเป็นตอนขึ้นไป
ไอ้นี่เวลาพูดธรรมะนะ “อู้ฮู! พวกท่านยังติดอยู่อีกหรือ”
แสดงว่าเอ็งขาวสะอาดใช่ไหม ที่โลกเขาขัดแย้งกันนะ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใสจิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส เพราะจิตเดิมแท้นี้เป็นพระอรหันต์ โอ้โฮ! เขาแบ่งเป็นสองฝ่ายนะ ฝ่ายหนึ่งว่าไอ้จิตใสๆ ไอ้จิตสว่างไสว นั่นน่ะคือนิพพาน ไอ้อีกฝ่ายหนึ่งก็ถือว่ามันยังไม่ใช่นิพพาน เถียงกันอยู่อย่างนั้นน่ะ มีอยู่ช่วงหนึ่งในสังคมไทยแบ่งเป็นสองฝ่ายแล้วเถียงกันว่า จิตเดิมแท้ จิตผ่องใสนั่นเป็นพระอรหันต์
เวลาหลวงตาท่านพูด จิตผ่องใสนั่นคือตัวอวิชชา นี่แหละ ฐีติจิตเลยน่ะ นั่นแหละต้นขั้วของกิเลสเลย เห็นไหม จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้เป็นผู้ข้ามพ้นถ้าใครทำไปถึงตรงนั้นแล้ว ถ้าวิปัสสนาต่อเนื่องไป ตัวนั้นมันจะข้ามพ้นไป ข้ามพ้นจากกิเลสไป นี่คนรู้จริง
ทำไมถึงข้ามพ้นล่ะ
ก็มันมีเป็นขั้นเป็นตอนมาไง ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ โสดาบัน เห็นไหม ถ้าสังโยชน์ สกิทาคามี ปฏิฆะกามราคะเป็นพระอนาคามี แล้วรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา สังโยชน์อันละเอียด ถ้ามันละมันได้ มันพิจารณาของมันได้ มันทิ้งของมันได้ มันถึงเป็นพระอรหันต์ นี่ไง เขามีขั้นมีตอน เขามีเหตุมีผลเป็นชั้นเป็นตอน
“โอ้โฮ! พวกท่านนี่ยังติดกันอยู่เลยหรือ สังโยชน์ไม่มี สังโยชน์มันเป็นสมมุติของฉันไม่มีอะไรเลย ไม่ยึดติดอะไรทั้งสิ้น โลกนี้เป็นสักแต่ว่า ว่างหมด”...บ้าบอคอแตกอย่างนั้นน่ะเยอะ
แล้วเวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงขึ้นมา ท่านจะเป็นจริงของท่าน ผู้รู้ เขารู้แล้วผู้รู้กับผู้รู้เขาคุยกัน นักปราชญ์กับนักปราชญ์เขาคุยกัน นักปราชญ์ราชบัณฑิตเวลาเขาทำประโยชน์เป็นประโยชน์อย่างนั้น นี่พูดถึงว่า ถ้ามันเป็นข้อเท็จจริงไง
ฉะนั้นถึงบอกว่า เวลาเขาบอกว่า “ฟังธรรมะหลวงพ่อตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ถามว่าดับแล้วเหลืออะไร”
ไอ้นี่เราถามเอง เพราะเราโดนถามมาแล้ว เราโดนหลวงปู่เจี๊ยะถามมา ถามมาแล้ว เราก็ตอบหลวงปู่เจี๊ยะของเราไปแล้ว ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาใครมามีเหตุมีผลอะไร แล้วมันมีอะไรล่ะ มันต้องบอกมาสิ ในมงคลชีวิต สิ่งที่เป็นมงคลชีวิต การสนทนาธรรม สนทนาธรรมมันมีอะไร มันเหลืออะไรล่ะ เวลามันเป็นอย่างไรก็บอกมาสิ มันไม่มีอะไรสิ่งใดเลย
ฉะนั้น เขาตอบว่า “ดับแล้วไม่เหลือ ถูกไหมคะ”
มันก็ไปเป็นสมาชิกของเขาไง “ติดอยู่นะ มันไม่มีอะไรเลย พวกท่านยังติดอยู่เลย ยังพูดธรรมะ เขาไม่ติดไม่ข้อง ว่างหมดเลย สักแต่ว่าทั้งหมด”...มันเป็นสิ่งที่ตัวเองก็ทำไม่ได้ แล้วตัวเองก็ไม่รู้สิ่งใด แต่มันใช้โวหารไง
แล้วต่อไปนี้ต่อไปในอนาคต เวลาที่คนไม่เชื่อในพระพุทธศาสนาก็พูดว่าศาสนาเป็นลูกตุ้มสังคม เป็นที่อยู่กับสังคม เกาะกินสังคมไปอย่างนั้นน่ะ แต่เวลาถ้าเขาเชื่อขึ้นมา ผู้ที่มาแสวงหาผลประโยชน์ ไอ้พวกที่มันมีปฏิภาณใช้โวหาร ดูสิในทางศิลปิน ผู้ที่มีโวหาร ในปัจจุบันเขามีโวหารของเขา
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลามีโวหารขึ้นมา พูดตีหน้าตาย ไอ้พวกเราเป็นเหยื่อทั้งนั้นเลย นี่พูดถึงว่าผู้ไม่รู้ ในเมื่อสังคมเขามีศรัทธามีความเชื่อของเขา มีครูบาอาจารย์ที่ทำได้จริงขึ้นมา เขาก็มาแสวงหาผลประโยชน์จากสังคมนั้น
แต่สังคมนี้เกิดมาจากไหนล่ะ มันเกิดมาจากครูบาอาจารย์ที่ท่านทำของท่านจนสังคมเขาเชื่อถือใช่ไหม แล้วถ้าท่านทำของท่าน ท่านก็ต้องมีที่มาที่ไป ถ้ามีที่มาที่ไป ดับแล้วเหลืออะไร เวลาพิจารณาไปแล้ว สมุจเฉทปหาน ขาดไปแล้วมันเหลืออะไร ขาดแล้วมันมีอะไร อะไรมันยังเหลืออยู่ อะไรที่มันสลัดทิ้งไปแล้ว อะไรที่มันทรงตัวอยู่ เห็นไหม
เวลาหลวงตาท่านเทศน์ พิจารณากาย กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์กายก็แยกเป็นส่วนหนึ่ง จิตแยกเป็นส่วนหนึ่ง ทุกข์แยกเป็นส่วนหนึ่ง จิตมันรวมลงแยกเป็น ๓ ทวีปเลย กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แล้วเหลืออะไร
ไอ้เวลามันตอบมันไม่มีหรอก “กายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ อู๋ย! มันขาดหมดเลย”...ขี้ลอยน้ำ
มันขาดไปไหน อะไรขาด ใครเป็นคนทำให้มันขาด แล้วใครเป็นคนรู้ว่ามันขาด แล้วใครเป็นคนรับผลนั้น ใครเป็นคนรับผลนั้น
เพราะมันไม่มีจุดยืน พอไม่มีจุดยืนปั๊บ ถ้าใครหัดภาวนาขี้ลอยน้ำ เวลาถ้าจิตมันดี มันก็ว่ามันดี แล้วเดี๋ยวเวลามันเสื่อมแล้ว โสดาบันเสื่อมหมด โสดาบันก็ไม่มีโสดาบันเดี๋ยวออกไปสละลาเพศไปหมดน่ะ โสดาบัน
เพราะมันกายเป็นกาย จิตเป็นจิต ทุกข์เป็นทุกข์ แล้วจิตรวมลง นี่จุดยืน สิ่งที่มันเป็นจริง แล้วเป็นจริงเป็นอย่างไรล่ะ ตอบไม่ได้หรอก ไม่มีใครตอบได้ ไม่มีใครตอบได้ มันถึงเป็นการภาวนาโกหก ไอ้ที่ตอบไม่ได้ ตอบไม่ได้คือเป็นการภาวนาโกหก ถ้าเป็นการภาวนาจริง เห็นผลตามความเป็นจริง ตอบได้ชัดๆ ตอบได้ตามความเป็นจริง
ฉะนั้นบอกว่า “ดับแล้วไม่เหลืออะไรเลย”
ไม่เหลืออะไรก็ขี้ลอยน้ำไง
แล้วเขาตอบบ้าง “ดับแล้วไม่เหลืออะไรเลย ถูกไหมคะ”
ก็เขาก็ตอบกันอย่างนี้ เขาก็ตอบกันแบบนี้ ถ้าเขาตอบกันแบบนี้มันก็ไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรทั้งสิ้น
แต่ถ้าคนเขาตอบถูก คนเขาตอบถูกนะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านรับฟัง เวลาครูบาอาจารย์ท่านสั่งสอนลูกศิษย์ของท่าน เวลาลูกศิษย์ของท่านขึ้นไปส่งการบ้านขึ้นไปส่งผลของการประพฤติปฏิบัติ ถ้าผิด ท่านจะแก้ไขให้ แก้ไขให้ ไอ้ผู้ที่ได้รับการแก้ไข ถ้าใจมันลง มันเชื่อ มันก็กลับไปฝึกฝน ถ้าใจมันไม่เชื่อ มันก็ตะแบงตะแบงก็ทำให้ผิดมากขึ้น ทำให้การประพฤติปฏิบัติรกรุงรังไปเรื่อย จนกว่าจิตมันจะเสื่อมหมด
พอเสื่อมหมดขึ้นมาแล้วมันค่อยมาคิดได้ว่า ที่ดีที่สุดคือตอนที่จิตมันเจริญขึ้นมา จะกลับมาอีก ถ้าคนมีวาสนามันจะกลับมาฝึกหัดปฏิบัติได้ กลับมาฟื้นฟูใจได้แต่คนที่ไม่มีอำนาจวาสนา มันไม่กลับมาอีกเลย เพราะกลับไม่ไหว มันทุกข์มันยากมาก มันก็เลยอยู่ประสาเป็นเศษเดนอย่างนั้นน่ะ แต่เวลาคุยธรรมะก็คุยตอนที่จิตดีที่สุด คุยว่าเคยเป็นๆ แต่ผลมันก็ไม่มีอยู่วันยังค่ำ
นี่ไง ถ้ามันกลับมาได้ ครูบาอาจารย์ท่านให้อุบาย เวลามันกลับมาได้ กลับมาได้ก็พยายามฝึกฝน พยายามค้นคว้า พยายามตั้งสติให้ได้ ทำจิตให้สงบให้ได้แล้วจับกาย จับเวทนา จับจิต จับธรรม พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกว่ามันจะถึงจุดนั้นน่ะ พอจุดนั้น เวลามันขาด ดับหมดเลย ดับหมด แล้วเหลืออะไรล่ะ ดับชัดเจนสังโยชน์ขาดหมด ถ้ามันเป็นความจริงนะ นี่พูดถึงว่าผู้รู้ ผู้รู้ เขารู้ ผู้ไม่รู้ก็วนเวียนไป
ฉะนั้น ไอ้ที่ว่าดับแล้วเหลืออะไร เราถามบ่อย เพราะโดนถามมา โดนอาจารย์ถามมาเหมือนกัน แต่ถามแล้ว พอถามแล้วเพื่อเตือนสติสังคม ที่เราถามๆนี่ เราถามไอ้พวกที่เหลวไหลเหลวแหลก ไม่เหลวแหลกธรรมดา เพราะเขามาคุยให้ฟัง เขาพูดธรรมะกันเขาจะบอกว่า “โอ้โฮ! ท่านยังติดอยู่อีกหรือ ของฉันว่างหมดเลย ไม่มีอะไรเหลือเลย”
โอ้โฮ! ไอ้คนที่โดนถามมันก็ทึ่งนะ “โอ้โฮ! เขาแน่จริงๆ เนาะ เขาไม่มีอะไรเลย ไอ้พวกเรายังติดอยู่”
ติดอยู่ มันยังมีถนนหนทางให้เดิน มีข้อวัตรปฏิบัติให้ก้าวเดิน ติดอยู่ ติดในธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ที่มีหลักมีเกณฑ์ ติดเพื่อจะแก้ไข ติดเพื่อจะก้าวเดิน ติดเพื่อให้อยู่ในสัจจะอยู่ในความจริง ไม่ใช่ว่าวเชือกขาด คิดเองเออเอง หลงไปอยู่บนอากาศ ไม่มีต้นไม่มีปลาย ไร้สาระ ไม่มีแก่นสารไม่มีสิ่งใดเป็นแก่นสารเลย แต่เขาใช้คารม ไอ้คนที่ไม่มีหลักตกใจนะ “ท่านยังติดอยู่หรือ อู้ฮู! แค่นี้ก็ยังติด เขาไม่ติดหรอก เขาปล่อยหมด ว่างหมดเลย สุดยอดเลย” แล้วเดี๋ยวพอมันหมดลมนะ ว่าวมันหมดแรงส่ง มันก็หัวปักลงดิน ว่าวนี่แหลกหมด
ถ้าเขายังบอกว่า “อู้ฮู! ยังติดอยู่หรือ ไม่เห็นมีอะไรเลย” ดูวันเขาสิ้น ดูวันเขาตาย แล้วจิตมันจะไปไหน คนที่ไม่ติด ดูสิ มันจะพ้นจากวัฏฏะไปไหน มันจะลงสู่อเวจี เอวัง